ufabet

ไอคิว (IQ) คิดคำนวณอย่างไร

IQ เป็นคำที่ทุกคนคงเคยได้ยินกันมานานจนคุ้นเคยกันดี ต่างจาก EQ และ AQ ซึ่งเป็นคำที่ทันสมัยกว่า

และเป็นที่สนใจซักถามกันมากในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามการที่คนเราจะประสบความสำเร็จพร้อมๆ กับการมีความสุขในชีวิต ก็ควรจะต้องมีองค์ประกอบของทั้ง 3 สิ่งนี้อยู่ในตัวในเกณฑ์ที่เหมาะสม จะขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไปไม่ได้

เราจะมาคุยกันถึง IQ ก่อนเป็นลำดับแรก

คนเราทุกคนจะเกิดมาพร้อมกับลักษณะเฉพาะตัว และถูกหล่อหลอมด้วยสภาพแวดล้อมในภายหลัง IQ หรือความสามารถทางเชาว์ปัญญาก็เป็นสิ่งหนึ่งซึ่งถูกกำหนดมาตั้งแต่แรกเกิด โดยมีปัจจัยด้านพันธุกรรมไปเกี่ยวข้องด้วย และสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ในครรภ์ของมารดาจนกระทั่งหลังคลอดก็เป็นปัจจัยอีกอย่างหนึ่งที่มีผลต่อเชาว์ปัญญาเช่นกัน เช่น ภาวะแวดล้อมที่มีการให้ความรัก ความอบอุ่น ให้การกระตุ้นพัฒนาการที่เหมาะสมกับวัย ก็จะมีผลต่อการเสริมสร้างศักยภาพนี้ให

้มากขึ้น หรือในทางกลับกันก็บั่นทอนให้ลดลงได้เชาว์ปัญญาเป็นนามธรรมที่จับต้องไม่ได้ แต่แสดงออกให้เห็นได้ผ่านพฤติกรรมต่างๆ ที่แสดงถึงความสามารถในการเรียนรู้ ความสามารถปรับตัวต่อเหตุการณ์ใหม่ๆ ความสามารถเข้าใจและเชื่อมโยงเหตุการณ์ต่างๆ อย่างมีเหตุผล และเป็นพฤติกรรมที่มีจุดมุ่งหมาย จะเห็นว่าเชาว์ปัญญาไม่ใช่ผลจากความสามารถอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นเราจึงไม่สามารถนำพฤติกรรมใดเพียงอย่างเดียวไปตัดสินว่าคนๆ นั้นโง่หรือฉลาดได้

ufabet

เนื่องจากเชาว์ปัญญาเป็นสิ่งที่คนสนใจกันมานาน จึงมีการคิดมาตรวัดเชาว์ปัญญาขึ้นเพื่อให้ได้ผลออกมาเป็นตัวเลขที่สื่อกันได้ง่าย และเป็นที่รู้จักกันในคำว่า IQ นั่นเอง

คำว่า IQ ย่อมาจาก Intelligence Quotient เป็นคำที่ William Stern เป็นผู้บัญญัติขึ้น เพื่อบ่งถึงระดับเชาว์ปัญญาของแต่ละบุคคล โดยมีสูตรว่า

IQ = อายุสมอง (MENTAL AGE) X 100

อายุจริง (CHRONOLOGICAL AGE)

โดยอายุสมอง มาจากการวัดโดยการใช้แบบทดสอบเชาว์ปัญญา ค่าคะแนนที่ได้จากการทดสอบจะถูกนำไปเปรียบเทียบกับคะแนนมาตรฐานที่บุคคลในระดับอายุเดียวกันนั้นทำได้ จะเห็นว่าถ้าอายุสมองเท่ากับอายุจริง ค่า IQ ของบุคคลนั้นจะออกมาเท่ากับ 100 ซึ่งคือ ค่าเฉลี่ยของ IQ ในคนส่วนใหญ่นั่นเอง

ufabet
29642811 – asian little student in library

Classification of Intelligence by I.Q. Range

ค่า IQ ปกติ คือ 90 – 109 ส่วนที่ต่ำกว่าปกติเล็กน้อย คือ 80 – 89 จะเรียกว่ากลุ่ม Dull normal เป็นกลุ่มคนที่สามารถเรียนรู้ในระบบปกติได้ เพียงแต่จะช้ากว่าเล็กน้อยในเกือบทุกด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านวิชาการ กลุ่มที่ต่ำลงไปอีก คือ 70 – 79 ถือเป็นกลุ่ม Borderline MR (คำว่า MR มาจาก Mental Retardation หรือ ความบกพร่องทางสติปัญญา หรือ ที่เมื่อก่อนเรียกกันว่าปัญญาอ่อนนั่นเอง)

กลุ่มนี้มักจะต้องการความช่วยเหลือพิเศษจึงจะสามารถเรียนรู้ได้ ส่วนกลุ่มต่ำกว่านั้น คือ เด็กสติปัญญาบกพร่องจะต้องอาศัยระบบการศึกษาพิเศษซึ่งจะแบ่งระดับไปตามความรุนแรงของความบกพร่อง กลุ่มที่บกพร่องอย่างอ่อน เป็นกลุ่มที่จัดเป็น Educable คือ เรียนรู้ทางด้านวิชาการได้ในระดับหนึ่ง สามารถอ่านออกเขียนได้ โดยในการเรียนรู้จะต้องใช้เวลาที่มากกว่าปกติ

ส่วนกลุ่มสติปัญญาบกพร่องปานกลาง จัดเป็นพวก Trainable คือ สามารถฝึกฝนสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวันได้ ส่วนกลุ่มบกพร่องรุนแรงถึงรุนแรงมาก เป็นกลุ่มที่ต้องอาศัยผู้ดูแลอยู่ตลอดเวลา ซึ่งกลุ่มนี้มักมีโรคทางกายอื่นๆ ร่วมด้วยอยู่แล้ว ซึ่งเราจะไม่ลงรายละเอียดในที่นี้

ต่อไปเราจะมาดูกลุ่มในฝั่งตรงข้ามกันบ้าง กลุ่มที่มีค่า IQ สูงกว่าค่าปกติ คือ กลุ่ม Bright Normal จะสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้รวดเร็ว เข้าใจอะไรๆ ได้ง่ายกว่าคนในระดับอายุเดียวกัน ที่สูงขึ้นมาอีก คือ กลุ่ม Superior และ Very superior กลุ่ม 2 กลุ่มหลังนี้ฟังดูน่าจะประสบความสำเร็จรวดเร็วกว่าคนอื่นในทุกๆ ด้าน เนื่องจากความฉลาดที่โดดเด่น แต่บางครั้งจะกลับพบว่าคนกลุ่มนี้มีปัญหาด้านอารมณ์ และพฤติกรรมได้บ่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากความฉลาดเกินปกติของเขาทำให้คนรอบข้างคาดหวังกับเขามาก และมองข้ามความต้องการด้านอื่นๆ ของเขาไป

ในความเป็นจริงแล้ว เราไม่สามารถจัดแบ่งคนเป็นกลุ่ม ๆ ดังในตารางนี้ได้อย่างตายตัว เพราะค่า IQ ก็คล้ายกับแถบสีรุ้งที่แต่ละสีจะไม่แบ่งแยกกันโดยเด็ดขาด ความแตกต่างของตัวเลขเล็กๆ น้อยๆ อาจไม่บ่งชี้ถึงความแตกต่างของเชาว์ปัญญาเท่าใดนัก แต่รายละเอียดของความสามารถในแต่ละด้านมีความสำคัญมากกว่า


ติดตามเนื้อหาดีๆ น่าอ่านได้ที่ clientelplus.com อัพเดตทุกสัปดาห์

Releated